บราซิล กับ อาร์เจนตินา 2 ชาตินี้เป็นอริต่อกันในเชิงลูกหนังกันมาช้านาน พวกเขามักจะแก่งแย่งความเป็น 1 ของทวีป กระทั่งความเป็น 1 บนจักรวรรดิลูกหนังกันมาอย่างยาวนานเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสำเร็จในการคว้าแชมป์ระดับทวีป , แชมป์โลก การส่งออกนักเตะไปค้าแข้งยังลีกต่างแดน โดยเล็งจุดหมายปลายทางไว้ที่ยุโรป ดูเหมือนว่าบราซิลจะดูเป็นเต้ยมากกว่าถ้ามองในถึงยุคสมัยในอดีต
แต่กระนั้นแล้วมันก็มีอีกหลาย Event เลยทีเดียวที่บราซิลกับอาร์เจนตินา ต้องมาแข่งขันกันในแง่ของการปะทะกันด้วยโปรไฟล์และฝีเท้าของนักเตะแบบรายบุคคล โดยเฉพาะกับสตาร์นักเตะที่ได้ชื่อว่าเป็น “เบอร์ 1” ของชาติตัวเองในช่วงเวลานั้นๆ บราซิลนั้นหลังจากที่หมดยุคของ “เปเล่” พวกเขาก็ได้ทำความรู้จักกับยอดนักเตะที่ได้รับฉายาว่า “เปเล่ขาว” อย่างตัวของ “อาตูร์ อันตูเนส โกอิมบรา” หรือที่รู้จักกันสั้นๆในชื่อว่า “ซิโก้” ตำนานมิดฟิลด์ตัวรุกชาวบราซิล
ส่วนทางฟากของ อาร์เจนตินา ในช่วงเวลาที่ “ซิโก้” ของฝั่งบราซิลเริ่มเข้าสู่ยุคปลายของความรุ่งโรจน์ของตัวเอง มันก็กลายเป็นช่วงเวลาที่ “ดิเอโก้ มาราโดนา” ตำนานแข้งซ้ายทองคำของชาติฟ้าขาวขึ้นมาสู่จุดพีคเลยทีเดียว 2 ตำนานหมายเลข 10 แห่งแดนละตินคู่นี้ มีโอกาสได้ลงประฝีเท้าต่อกันอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นในระดับสโมสรและทีมชาติของตัวเอง ว่าแต่ว่าพวกเขาที่นับถือต่อกันและกันจนมองได้ว่าเป็นทั้งเพื่อนและคู่แข่งร่วมตำแหน่งหมายเลข 10 ใครดีกว่ากัน วันนี้ เราจะมาลงลึกถึงทั้งคู่กันเลย โดยต้องขอบคุณข้อมูลจาก MVPKICK.COM เว็บไซต์ข้อมูลฟุตบอลที่อัดแน่น รวมถึง ผลบอลสด มีให้ติดตามครบทุกแมตซ์ มาอ่านกันต่อเลย
การใช้เท้าสองข้าง …
ในส่วนนี้นั้น มาราโดนา “ด้อยกว่า” ตัวของ ซิโก้ อย่างชัดเจน ! เพราะตั้งแต่สมัยที่เป็นตัวทีมเยาวชนของสโมสร ฟลาเมงโก้ ตัวของ ซิโก้ ได้รับการฝึกฝนในการเพิ่มพละกำลังทางกล้ามเนื้อ และได้รับการฝึกฝนให้ใช้งานเท้าสองข้างให้มีประสิทธิภาพที่ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย มันส่งผลอย่างมากต่อการเล่นฟุตบอลของ ซิโก้ เพื่อเขาสามารถปิดสกอร์หรือเปิดบอลได้ทั้งซ้ายและขวาอย่างแนบเนียน ซึ่งนักเตะที่ใช้เท้าสองข้างได้เนียนตาพอกันนั้นหาได้ยากมากในยุคสมัยดังกล่าว มันต้องอาศัยการฝึกฝนตั้งแต่เด็กๆเลยทีเดียว
สวนทางกับ มาราโดนา เขามี “เท้าซ้าย” เป็นขีปนาวุธชั้นเลิศ ที่สามารถใช้มันเปิดกระป๋องยังได้ด้วยซ้ำไป เขาสามารถใช้ซ้ายชั่งทองของเขาในการครีเอตทุกอย่างในสนาม ไล่ตั้งแต่การเลี้ยงบอล , ยิงประตู จ่ายบอล ทำทุกอย่างด้วยซ้ายเพียงข้างเดียวของเขา
แต่เมื่อบอลเข้าเท้าขวาของเขา มาราโดนาก็แทบจะทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ และหากบอล มันไปเข้าเท้าขวาจริงๆ สิ่งที่ “พี่เตี้ย” จะทำในจังหวะต่อมาก็คือการไขว้รับบอลหรือเปิดบอลด้วย “ลาโบนา” อันเป็นการไขว้ขาอีกข้างมาตวัดบอลหลังขาข้างหลัก ดังนั้นแล้วเรื่องการใช้เท้าข้างไม่ถนัดนั้น ซิโก้ ชนะ มาราโดนา ไปอย่างใสๆเลยทีเดียว
ความเป็น “จอมทัพ” …
ส่วนนี้นั้น มาราโดนา เข้าวินไปแบบชิลๆ เลยทีเดียว ! เราสามารถกางดูได้เลยว่าจากสถิตินั้น ซิโก้ มียอดการทำประตูที่สูงกว่า มาราโดนา อย่างชัดเจนเลยทีเดียว ด้วยสาเหตุที่ว่า ซิโก้ มีความมั่นใจในตัวเองอย่างมากโดยเฉพาะในเรื่องการทำประตู เขาเป็นนักเตะสไตล์ “หน้าต่ำ” ที่ชอบการยิงประตูเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกับการยิงประตูทั้งจากจังหวะ Open Play และการยิงจากจังหวะ Set Play เขาเหมายิงได้หมดเลยจริงๆ แต่ว่าเพราะเน้นยิงจนคว้ารางวัลดาวซัลโวมาหลายสถาบันนี่แหละ มันเลยเป็นคำถามว่าถ้าวัดกันในเรื่องของความเป็น “จอมทัพ” ตัวของเขากับ มาราโดนา ใครมีมากกว่ากัน
มาราโดนา เป็นนักเตะที่มีพลังแฝงบางอย่าง เขาสามารถเป็นผู้นำของทีมได้ คาดปลอกแขนกัปตันทีมนาโปลีและอาร์เจนตินา มีความเป็นผู้นำ ซึ่งเป็นสิ่งที่ ซิโก้ ไม่ค่อยได้สัมผัสกับบทบาทนี้ ในทีมชาติบราซิลนั้นกัปตันทีมชาติก็เป็นโซคราติส ในสโมสรก็ยังไม่ใช่เขา แถมมาราโดนายังเป็นคนที่สามารถดึงความสามารถของเพื่อนร่วมทีมออกมาได้ ฉลาดในการทำเกมและการจ่ายบอล ชอบลงมาเล่นตรงกลางสนามเพื่อทำเกมเองบ่อยครั้ง สามารถกำหนดจังหวะการเล่นของทีมได้เฉียบขาดกว่า ไม่ได้เน้นในการทำประตูด้วยตัวเอง ฉะนั้นแล้วเรื่องความเป็นจอมทัพ มาราโดนา จึงเข้าวินไปแบบชิลๆ
การพลิกเกม …
ส่วนนี้นั้น ก็ยังคงเป็นมาราโดนา ที่เข้าวินอย่างชัดเจนอีกเช่นเคย สำหรับตัวของ ซิโก้ เขามีเพื่อนร่วมทีมระดับชั้นแนวหน้าหลายคนคอยช่วยเหลือในแดนกลาง ทำให้บางครั้งการพลิกเกมให้จากหน้ามือเป็นหลังมือก็ไม่ได้เกิดจากเจ้าตัว แต่สำหรับมาราโดนา คู่ต่อสู้จะจับจ้องตัวของเขาเป็นพิเศษ และพยายามให้ มาราโดนา ได้บอลน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ถึงอย่างไร โคตรนักเตะแบบเขาก็ยังหาช่องในการพลิกเกมได้ อย่างเช่น … การพลิกจ่ายบอลจังหวะสำคัญจนทำให้ อาร์เจนตินา ได้แชมป์โลกไปครองนั่นเอง !
การยิงประตู
ไม่เถียงเลยว่าเรื่องนี้ ซิโก้ “กินขาด” เพราะตัวของ ซิโก้ นั้นครั้งหนึ่งเคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาโปรดปรานการทำประตูเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการพังสกอร์ในแบบของลูกนิ่งและลูก Open Play เขาสามารถทำได้ดีทั้งหมดเลยทีเดียว หรือจะเป็นการพาบอลเข้าไปยิงเอง การซัดไกลจากนอกเขตโทษ เขาทำได้ดีไปหมดเลยจริงๆ และแต่ละลูกนั้นเป็นลูกยิงที่เด็ดขาด สามารถรับประกันได้เลยว่าถ้าบอลพุ่งออกจากเท้าของเขานั้นสามารถแปรเปลี่ยนเป็นสกอร์ให้กับทีมได้
ในขณะที่ตัวของ มาราโดนา เขาไม่ได้มียอดการทำประตูที่เยอะเวอร์เหมือนกับที่ ซิโก้ ทำได้ เพราะสไตล์ของ มาราโดนา เขาชอบที่จะปั้นเกมให้กับเพื่อนด้วย หรือเลี้ยงบอลเพื่อเปิดพื้นที่แนวรับ ทำให้เพื่อนร่วมทีมว่าง แต่ถ้าให้ยิงประตูล่ะก็เขาเองก็ทำได้ดีเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นการยิงจาก Open Play หรือ Set Play ตัวของ มาราโดนาทำได้ดีหมด มาราโดนา ยิงไม่เยอะเท่ากับ ซิโก้ แต่เขามีลูกยิงสวยๆที่แฟนบอลจดจำจนเป็นตำนานขึ้นหิ้ง ไม่มีใครลืมเลยก็หลายต่อหลายประตูเช่นกัน ชนิดที่ว่า ซิโก้ ยิงคมกว่า ยิงเป็นหลัก 800 กว่าประตู แต่ที่มาราโดนายิงได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของซิโก้ แต่กลับเป็นที่จดจำได้มากกว่ามันก็น่าคิดแล้วเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการยิงประตูจากจังหวะเตะมุมโดยตรงตอนเล่นให้กับ นาโปลี … การเดาะบอล 2 จังหวะก่อนจะยิงประตูจากวงกลมกลางสนามในสมัยเล่นในลีกบ้านเกิด …
การเลี้ยงบอลจากครึ่งสนามเข้าไปยิงประตูใส่ทีมชาติอังกฤษในฟุตบอลโลก 1986 และยังฝากลูกแฮนด์บอลอันเป็นตำนานไว้ในทัวร์นาเมนต์เดียวกัน นัดเดียวกันด้วยอีก อ้อ แล้วก็ขาดไม่ได้กับการลากบอลโซโล่เข้าไปชิพข้ามตัวของ ฌอง-มารี พัฟฟ์ นายทวารทีมชาติเบลเยียมในรอบ 4 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก 1986 หรือจะเป็นการเลี้ยงโซโล่เข้าไปยิงใส่ เรอัล มาดริด ในเอล คลาซิโก้ จนแฟนบอลมาดริดต้องลุกขึ้นปรบมือให้เกียรติ ….
จริงอยู่ที่ว่า ซิโก้ ระเบิดตาข่ายในลีกแซมบ้าจนคว้ารางวัลดาวซัลโวมาได้ก็หลายสถาบัน แต่ตัวของ มาราโดนา ก็เคยคว้ารางวัล “ดาวยิงสูงสุดของกัลโช เซเรียอา” มาครองได้ด้วย ซึ่งเป็นยุคที่กัลโช เต็มไปด้วยแข้งกองหลังระดับต่างดาวทั้งสิ้น เตะเป็นเตะ ถีบเป็นถีบ แต่เขาที่เล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวรุกแท้ๆ กลับได้รางวัลดาวซัลโวของลีก ใขณะที่ ซิโก้ ที่ตามมาเล่นในกัลโชเช่นกันในตอนหลัง ยังไม่สามารถทำได้ !
การเลี้ยงบอล
ต้องเรียกว่าเรื่องเลี้ยงบอลนั้น สองตำนานจอมทัพแดนละติน ทำได้อย่างสูสี คู่คี่กันเป็นอย่างมาก ทั้งคู่ต่างมีทักษะในการเลี้ยงบอล ครองบอลที่เหนียวแน่น แย่งบอลจากเท้าได้ยากมาก และที่สำคัญคือทั้งคู่รู้ดีเลยว่าจังหวะแบบไหนควรจะเลี้ยงบอลไปเอง หรือควรจะปล่อยบอลให้เพื่อน แต่การเลี้ยงบอลของพวกเขานี่แหละที่มันทำให้แนวรับฝั่งตรงข้ามโดนฉีกออกเป็นริ้วๆ มาราโดนา เลี้ยงบอลเป็นแต่เท้าซ้าย แต่เขามีสปีดต้นและมีความเร็วในตัว มีความแข็งแกร่ง แย่งบอลยาก สามารถพาบอลพลิ้วคู่ต่อสู้เข้าไปในเขตโทษก่อนจะเลือกเช็คบอลเองหรือจะป้ายบอลให้เพื่อนที่ว่างอยู่ เพราะกองหลังฝั่งตรงข้ามกรูกันเข้ามารุมจับตายเขา ให้ยิงประตูแบบง่ายๆไปเลย
ส่วนทางด้านของ ซิโก้ เขาไม่ได้มีความเร็วแบบที่มาราโดนามีในตัว แต่เขากลับเลี้ยงบอลติดเท้า โยกบอลหลบบ้าง แตะหลบเล็กน้อยก็สามารถไปต่อได้แล้ว และเมื่อพาบอลหลุดเข้าไปในพื้นที่ระยะทำการ จะเป็นนอกเขตโทษหรือเป็นในเขตโทษ เขาก็สามารถหวดตูมได้จากเท้าสองข้างได้ในที่สุด การเลี้ยงกินตัวของสองจอมทัพหมายเลข 10 คู่นี้คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับนักเตะฝั่งตรงข้ามเลยทีเดียว แค่จะเข้าไปแย่งบอลก็อาจจะกลายเป็นการเข้าพรวดจนโดนแตะบอลลอดขา หรือโดนพวกเขาใช้เทคนิคเฉพาะตัวในการหลอกล่อจนหัวทิ่มหัวตำ และจากนั้นพวกเขาก็พาบอลพลิ้วหนีไปได้แบบสบายๆ
ก็ไม่น่าแปลกใจจริงๆที่เรื่องการเลี้ยงบอล คู่นี้กินกันไม่ลงเลยจริงๆ และที่สำคัญก็คือ จังหวะการเลี้ยงบอลของทั้งคู่มันเรียกฟาล์วได้บ่อยมาก โดยเฉพาะหน้าเขตโทษ ถ้าคู่ต่อสู้ปล่อยให้จอมทัพคู่นี้เลี้ยงบอลพลิ้วจนเข้าพื้นที่อันตรายหรือหลุดไปในเขตโทษ โอกาสเสียประตูนี่ก็แทบจะเป็น 100% หนทางที่จะหยุดทั้งคู่ได้ก็คือการอัดฟาล์วก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปในเขตโทษ แต่ว่าพออัดฟาล์วหน้าเขตโทษก็ต้องเสียฟรีคิก ความซวยก็จะมาเยือนอีกนั่นก็คือ สองคนนี้คือตัวซัดฟรีคิกที่เท้าฉมังมากที่สุด แถมยิงคมพอๆกันด้วย เรียกว่ามีแต่เสียกับเสียเลยจริงๆ
การจ่ายบอล
เพลย์เมกเกอร์หมายเลข 10 แค่ชื่อบทบาทก็น่าจะชัดเจนแล้วว่าพวกนี้จะต้องมีความสามารถในด้านการ “จ่ายบอลคิลเลอร์พาส” ให้เพื่อนปิดสกอร์ได้ง่ายดายที่สุด ขอแค่ว่ามีช่องว่างเพียงนิดเดียว จะต้องทำให้เพื่อนหลุดเข้าไปยิงประตูได้ง่ายๆ แล้วก็บังเอิญจริงๆว่า ในด้านการจ่ายบอลให้เพื่อนทำประตูนั้น ซิโก้ กับ มาราโดนา ก็ดันมีขีดความสามารถในด้านนี้ระดับที่ “เท่าเทียมกัน” ชนิดที่ว่ากินกนไม่ลงเลยทีเดียว เพียงแต่ว่าจังหวะการจ่ายบอลของ มาราโดนา ที่สามารถทำลายแผงเกมรับของคู่ต่อสู้ได้ในพริบตานั้นมันดูชัดเจนและเป็นที่จดจำของแฟนบอลมากกว่านั่นเอง
การแอสซิสต์หรือจ่ายบอลให้เพื่อนทำประตูของ ซิโก้ นับว่าเด่นไม่แพ้กัน อย่างเช่นในศึกฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก หรือที่ในอดีตเราได้เรียกชื่อถ้วยนี้ว่า โตโยต้าคัพ ที่ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น มันจะเป็นการนำเอาทีมแชมป์จากทวีปอเมริกาใต้ มาดวลแข้งกับทีมที่ได้แชมป์ยุโรป และในคราที่ ซิโก้ เล่นให้กับฟลาเมงโก้ เขาเป็นคนพาทีมคว้าแชมป์โคปา ลิเบอร์ตาดอร์เรสคัพจนได้เข้ามาเล่นในถ้วยโตโยต้าคัพที่ญี่ปุ่น โดยจะได้เจอกับทีม “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ที่ได้แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ (ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกในปัจจุบัน) มาเป็นคู่ต่อกรด้วย
และในเกมดังกล่าว ซิโก้ ไม่สามารถทำประตูได้ แต่เขาสามารถฉีกเกมรับของลิเวอร์พูลได้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และยังสามานรถทำแอสซิสต์ได้มากถึง 2 ครั้งจากสกอร์ 3-0 ที่ฟลาเมงโก้ แถมแต่ละลูกนั้นคือลูกแทงทะลุช่องสไตล์แซมบ้าสุดคมกริบที่ลิเวอร์พูลนั้นก็ยากจะรับมือ สุดท้ายนั้น ฟลาเมงโก้ ได้แชมป์โลกไปครองในที่สุด แล้วเราก็จะกลับมาดูที่สไตล์การจ่ายลูกคิลเลอร์พาสของ มาราโดนา เขามีลูกแอสซิสต์ที่แฟนบอลจดจำจนขึ้นหิ้งอยู่หลายต่อหลายลูก เราก็ลองนึกถึงจังหวะที่เจ้าตัว ได้บอลบริเวณกลางสนาม ก่อนที่จะสบช่องเพียงนิดเดียว จ่ายบอลทะลุแนวรับด้วยซ้ายชั่งทองของเขา ให้ตัวของ ฆอร์เก้ เบอร์รูชาก้า กองกลางเพื่อนร่วมชาติ ได้ควบพาบอลหลุดเดี่ยวเข้าไปยิงสวนตัว ชูมักเกอร์ นายทวารฝั่งของเยอรมัน จนมันกลายเป็นประตูชัยที่ทำให้ อาร์เจนตินา คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1986 ไปครองได้สำเร็จ
และอีกครั้งก็คือในฟุตบอลโลก 1990 ในเกมที่อาร์เจนตินา เจอกับคู่แค้นอย่างทีมชาติบราซิล มาราโดนาที่โดนรุมอยู่คนเดียว ก็จัดการจ่ายบอลลอดช่องนักเตะบราซิลที่เข้ามาล้อมเขาถึง 5 คนให้ เคลาดิโอ คานิกเกีย กองหน้าคู่หูในทีมชาติชุดนี้ได้บอลหลุดเดี่ยวเข้าไปกระซวกประตูชัยให้ อาร์เจนตินา เข้ารอบ 4 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ
ฟรีคิก
ต้องบอกว่าสกิลของทั้งสองคนนี้ “คมพอกัน” โดยเฉพาะกับเรื่องฟรีคิก มันคืออีก 1 อาวุธเด็ดที่สองจอมทัพหมายเลข 10 คู่นี้ชำชองพอๆกันเลยทีเดียว แถมยังมีฟรีคิกสวยๆที่แฟนบอลจดจำกันได้อยู่หลายๆลูกจากฝีเท้าของทั้งคู่เลยทีเดียว ยิ่งถ้าหากว่ามันเป็นฟรีคิกที่ได้ยิงในเหลี่ยมเท้าข้างถนัดของทั้งคู่ด้วยล่ะก็ รับรองเลยว่าโอกาสได้ประตูมีสูงมาก ถ้าหากเป็นฟรีคิกที่ขยับกำแพงมาทางซ้าย คนถนัดขวาแบบ ซิโก้ ก็จะยิงได้แบบง่ายๆ หรือถ้าเป็นฟรีคิกที่ขยับกำแพงมาทางขวา มันคือเหลี่ยมระยะทำการของคนถนัดซ้ายแบบ มาราโดนา ที่พร้อมยิงในทันที
ลูกฟรีคิกที่ทั้งสองคนยิงได้นั้น มีที่เด่นๆหลายลูกเลยทีเดียว อย่างเช่นตัวของ ซิโก้ เขาเป็นนักเตะที่แก้มือในเรื่องการยิงฟรีคิกได้ดีเป็นอย่างมาก เขาเป็นคนที่เมื่อมีโอกาสยิงฟรีคิกลูกแรก ถ้าหากผู้รักษาประตูพุ่งปัดลูกยิงที่ได้ยิงในเหลี่ยมถนัดของเขาได้ หากได้ยิงอีกครั้งในมุมเดิม สิ่งที่เขาจะทำก็คือการเลือกปั่นไปยังมุมตรงข้าม ซึ่งเป็นจุดที่นายทวารฝั่งตรงข้ามไม่คาดคิดว่าเขาจะยิงนั่นเอง และยังมีลูกฟรีคิกสุดสวยที่เขายิงใส่สกอตแลนด์จนเป็นประตูตีเสมอในฟุตบอลโลก 1982 อีกด้วย
ส่วนทางด้านของ มาราโดนา เขาเองก็มีลูกฟรีคิกที่แม่นฉมังเกินห้ามใจเช่นกัน ส่วนลูกฟรีคิกที่เจ้าตัวทำได้จนเป็นที่จดจำของแฟนบอลก็อย่างเช่น … ลูกฟรีคิก 2 จังหวะที่เขาให้เพื่อนร่วมทีมเขี่ยเปลี่ยนจุดให้ยิง ซึ่งแน่นอนว่านักเตะฝั่งตรงข้ามกับนายทวารก็คิดว่า มาราโดนา คงจะปั่นไปยังอีกมุมเป็นแน่ แต่ไม่ใช่เลย เขาให้เพื่อนเขี่ยบอลเปลี่ยนจุดก็จริง แต่เขาก็ไม่ได้ยิงอ้อมกำแพงเข้าเสาไกลแบบที่คาด แต่เขาก็ยังปั่นข้ามกำแพงเสียบสามเหลี่ยมเสาเดิมที่ซึ่งอันที่จริงไม่ต้องเขี่ยบอลเปลี่ยนจุดก็ได้ แต่มันคือการหลอกที่แนบเนียนอย่างมาก และในเกมดังกล่าว เขายิงใส่ทีมที่ชื่อ “ยูเวนตุส”